ใครกันที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายเจ้าชู้ของโลก???
ใครกันที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายเจ้าชู้ของโลก???
เรื่องของอิตาลี ที่เวนิส
เที่ยวยุโรปแถบภาคเหนือตอนล่างของประเทศอิตาลีที่เกาะเวนิส ประเทศอิตาลีประกอบด้วย 15 แคว้นใหญ่และ 5 แคว้นปกครองตนเอง รวมเป็น 20 แคว้น เกาะเวนิสอยู่ในแคว้นเวเนโต ซึ่งอันที่จริงแล้วมีพื้นที่ของแคว้นอยู่บนแผ่นดินใหญ่เป็นส่วนมาก ส่วนที่อยู่ตรงกันข้ามกับเกาะเวนิส เรียกว่าเมสเตร้ MESTRE ซึ่งเปรียบเหมือนเมืองท่าเรือที่จะข้ามไปยังเกาะเวนิสนั่นเอง สนามบินเวนิสซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติก็จะอยู่ในส่วนของเมสเตร้นี่แหละ นอกจากนั้นก็ยังมีเมืองเวโรน่า ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของแคว้นเวเนโต และเป็นฉากของนิยายรักบันลือโลกเรื่องโรมิโอกับจูเลียต ปัจจุบันนี้ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองนี้ก็สามารถไปชมบ้านของจูเลียตได้ แต่วิลเลียม เชคสเปียร์ คนแต่งเรื่องนี้กลับไม่เคยมาที่เมืองเวโรน่าเลยตลอดชีวิตของเขา เขาแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาจากการฟังเรื่องเล่าต่อๆกันมาแล้วผสมจินตนาการของตนเองเข้าไปเพื่อให้เรื่องราวมีความสนุกตื่นเต้น สมเป็นยอดจินตกวีเอกของโลกโดยแท้
ตัวเมืองเวนิสเองซึ่งเป็นนครอิสระมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7-8 และเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายทางเรือ มีเจ้าผู้ครองนครเป็นประมุข มีพระราชวังดอดจ์ DOGE หรือดูคาเล ตามสำเนียงท้องถิ่นเป็นที่ประทับ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงมีอยู่และอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่แพ้พระราชวังใหญ่ๆในยุโรป เช่น พระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส มีโบสถ์เซนต์มาร์ค หรือโบสถ์ซานมาร์โกตามสำเนียงอิตาเลียน ตั้งตระหง่านเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจของชาวเมืองและหน้าโบสถ์ก็จะมีลานกว้างล้อมรอบวอาคารเรียงติดกันรอบทั้ง 4 ด้าน ทำให้เกิดจตุรัสขึ้นตรงกลางเรียกว่าจตุรัสเซนต์มาร์ค หรือ PIAZZA SAN MARKO ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นศูนย์กลางของเกาะเวนิสในปัจจุบัน อันจะประกอบไปด้วยโรงแรม ร้านอาหาร บาร์ ธนาคาร สำนักงานของบริษัท ห้างร้านต่างๆ รวมทั้งร้านขาย ของย่านช้อปปิ้งสินค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์เนมและโนเนมจะเรียงรายแออัดยัดเยียดกันอยู่ตามตรอกซอกซอยติดๆกันแถวจตุรัสซานมาร์โกนี่แหละ ถ้าหากมาเที่ยวเกาะเวนิสแล้วมีโอกาสได้ค้างคืนบนเกาะก็จะมีเวลามากขึ้น กลางคืนตรงจัตุรัสจะมีการตั้งโต๊ะเก้าอี้ ให้นั่งดื่มเครื่องดื่มพร้อมกับมีดนตรีวงTRIO แต่ถ้าไม่ได้พักบนเกาะก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ควรไปสัมผัสหาประสบการณ์ในการท่องเที่ยวที่เวนิสที่ไม่ควรพลาดเป็นอันขาดคือการนั่งเรือกอนโดล่า เรือกอนโดล่าที่เวนิสใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณนานถึงปีไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่หากจะพูดถึงจำนวน ในสมัยคริสต์วรรษที่ 18 คือประมาณสองร้อยกว่าปีมาแล้ว กล่าวกันว่าในเวนิสมีเรือกอนโดล่าประมาณ 10,000 ลำ หนึ่งหมื่นลำ ปัจจุบันนี้เหลืออยู่ประมาณ 400-500 ลำเท่านั้น เนื่องจากเมื่อก่อนคือในสมัยโบราณเรือกอนโดล่าเป็นพาหนะทางน้ำที่จำเป็นในชีวิตในชีวิตประจำวัน แต่ปัจจุบันนี้เขามีบริการเรือเมล์ ซึ่งวิ่งตามจุดใหญ่และวิ่งในคลองใหญ่หรือที่เรียก กรันเด คาแนล สามารถรับผู้โดยสารได้ทีละจำนวนมากๆ เป็นจำนวนเรือนร้อยคนขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีเรือแท็กซี่วิ่งตามคลองเล็กๆอีก เรือกอนโดล่าจึงกลายมาเป็นเรือสำหรับบริการนักท่องเที่ยวและเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเวนิสไปโดยปริยาย เรือกอนโดล่าจะมีความยาวโดยประมาณ 11 เมตร และมีลำตัวกว้างประมาณ 1 เมตร สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้เต็มที่ 6 คน แต่จะนั่งน้อยกว่านั้นก็ไม่มีใครว่า ถ้าไปกับคนรักก็ควรจะนั่งกันแค่ 2 คนก็จะดีที่สุด เชื่อกันว่าหากคู่รักจูบกันบนเรือกอนโดล่าขณะที่เรือกำลังลอดใต้สะพานถอนหายใจ (BRIDGE OF SIGH) ตอนที่ระฆังในโบสถ์กำลังตีจะทำให้หนุ่มสาวคู่นั้นรักกันจนวันตาย ราคาค่าเช่าเรือกอนโดล่าจะคิดแบบเหมาลำโดยยกตัวอย่าง เช่นวิ่งไปตามคลองเล็กๆใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคามาตรฐานจะอยู่ที่ 80 ยูโรดอลล่าแต่ถ้าไม่มาตรฐานก็อาจจะสูงกว่านี้ เรือกอนโดล่ามีท่าให้ลงมากมายหลายท่าแล้วแต่จะเลือกลงท่าไหน นอกจากนี้แล้วยังมีเรือกอนโดล่าแบบที่มีนักดนตรีและนักร้องคอยขับกล่อม โดยนักร้องส่วนใหญ่จะเป็นนักร้องผู้ชายวัยกลางคน ซึ่งจะเป็นนักร้องที่ร้องเป็นอาชีพไม่ใช่คนพายเรือร้องเอง
ส่วนใหญ่จะร้องเพลงพื้นบ้านอิตาลีซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในยุโรป เช่น SANTA LUZIA หรือ O SOLE MIO เป็นต้น ถ้าเป็นแบบนี้ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีก พูดถึงคนพายเรือกอนโดล่าจะต้องสอบเพื่อรับใบอนุญาตใครไม่มีใบอนุญาตไม่สามารถพายเรือกอนโดล่าได้เพราะจะถูกตำรวจจับ คนพายเรือกอนโดล่า 99.99% เป็นผู้ชายเพิ่งจะมีผู้หญิงสอบได้ใบอนุญาตพายเรือกอนโดล่าคนแรกเมื่อปี 2010 นี่เอง สถานที่อีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากโบสถ์เซนต์มาร์ค ซึ่งทัวร์จะพาไปชมอยู่แล้ว คือพระราชวังดอดจ์ หรือพระราชวังดูคาเลซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครเวนิสในอดีต ต่อมาพระเจ้าวิคเตอร์ เอมมานูเอล ที่ 2 แห่งซาร์ดิเนีย ได้รวบรวมแคว้นนครต่างๆเข้าด้วยกันเมื่อปี ค.ศ.1861 รวมเป็นประเทศอิตาลี เจ้าผู้ครองนครต่างๆก็ได้หมดอำนาจลง พระราชวังดอดจ์แห่งเวนิสจึงได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ดอดจ์ในปัจจุบัน ในพระราชวังนี้มีสิ่งของและภาพเขียนที่หายากและราคาแพงตั้งแสดงอยู่มากมาย ผมไม่สามารถบรรยายได้หมด ภาพแต่ละภาพเขียนโดยศิลปินระดับโลกที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเวนิส เช่น จาโคโป ตินโตเร็ตโต และนอกจากนี้ยังห้องโถงที่ไม่มีเสาค้ำที่กว้างที่สุดในยุโรปและมีของสิ่งหนึ่งที่หาดูไม่ได้จากพิพิธภัณฑ์หรือสถานที่อื่น คือ “เข็มขัดกันชู้” ซึ่งบางท่านอาจจะเคยคิดว่าคงมีแต่คำพูดที่พูดกันเล่นๆขำๆแต่เข็มขัดกันชู้มีจริงๆทำด้วยเหล็กใช้คาดรอบเอวผู้หญิง แล้วยังมีอีกแถบหนึ่งปิดจากด้านหน้ามาด้านหลัง เจาะช่องเล็กๆเป็นรูหลายรูเพื่อเป็นช่องขับถ่าย ถ้ามีโอกาสต้องเข้าไปดูให้ได้และอีกอาคารหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดกันกับพระราชวังดอดจ์จะเป็นคุกประจำเมืองซึ่งมีคลองกั้นอยู่ระหว่างกลาง จึงมีสะพานเชื่อม เพราะในพระราชวังจะเป็นที่ตั้งของห้องพิจารณาคดี เมื่อนักโทษถูกตัดสินลงโทษให้ขังคุกก็จะนำนักโทษข้ามสะพานมายังคุก สะพานนี้ต่อมาได้ชื่อว่าสะพานถอนใจ (BRIDGE OF SIGH) เพราะนักโทษส่วนใหญ่จะถอนหายใจด้วยความกังวลว่าเมื่อไรจะได้ออกจากคุกมาเห็นโลกภายนอกอีกครั้งหรือบางทีอาจจะไม่ได้ออกมาอีกเลย
นักโทษสำคัญที่มีชื่อเสียงของคุกที่เมืองเวนิสคือคาสโนว่า คาสโนว่ามีชื่อเต็มว่า “จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนว่า” (GIACOMO GIROLAMO CASNOVA) เป็นชาวเวนิชโดยกำเนิด เกิดเมื่อ ค.ศ. 1725 เป็นคนที่มีสมองปราดเปรื่องมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตามประวัติกล่าวว่า คาสโนว่าสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขากฎหมาย เมื่ออายุเพียง17 ปี แต่ตามประวัติของเขาอีกเช่นกันกล่าวว่าเขากลับต้องคดีอยู่หลายครั้งและถึงขั้นถูกตัดสินให้จำคุกก็หลายหนโดยความผิดส่วนใหญ่จะเกิดเกี่ยวกับการหลอกต้มตุ๋นคนที่มีฐานะร่ำรวย และความผิดอีกอย่างที่คาสโนว่ามักจะถูกกฎหมายลงโทษก็คือการไปมีความสัมพันธุ์ทางด้านชู้สาวกับผู้หญิงที่เป็นภรรยาของผู้มีตำแหน่งและฐานะในสังคมชั้นสูงในสมัยนั้น คาสโนว่าเป็นผู้ที่เขียนหนังสือเก่งและพูดเก่ง เรียกว่ามีคารมเป็นต่อ อีกทั้งรูปหล่อก็ไม่เป็นรองใคร เขาจึงมีความสัมพันธุ์กับผู้หญิงถึง 122 คน และเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายเจ้าชู้ของโลก ในขณะที่ขุนแผนเมืองสุพรรณ ลูกชายขุนไกรและนางศรีประจันของเรานั้นก็มีชื่อเสียงในทางเดียวกันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย แต่ขุนแผนออกจะเป็นนักรักในแนวบู๊ดูเป็นพระเอกมากกว่าคาสโนว่า และยังมีคาถาสะเดาะกุญแจ เรียกว่าใครขังไว้ก็สามารถหนีได้ คาสโนว่าก็ไม่เบาเขาแหกคุกทีเวนิสหนีออกไปได้ แต่คงไม่ได้ใช้คาถาสะเดาะกุญแจแบบขุนแผน คาสโนว่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1789 ตรงกับปี พ.ศ.2332 หลังสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้ 7 ปี คงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับขุนแผนของเรา เพราะขุนแผนเป็นเพียงตัวละครในวรรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนซึ่งแต่งในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ไม่ได้มีตัวตนจริงๆซึ่งต่างจากคาสโนว่าที่มีตัวจริงเสียงจริงมีประวัติชัดเจน
อย่างไรก็ตามหากท่านได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะเวนิสก็ลองไปชมและสัมผัสประสบการณ์ตามที่ผมได้เล่ามาแล้วจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยครับ
เขียนโดย นายอินเตอร์
คอลัมน์นิสต์นิตยสารเช็คทัวร์
CheckTour Magazine
ขอบคุณนิตยสารเช็คทัวร์ สำหรับบทความที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่
02 มกราคม 2561
ผู้ชม 7452 ครั้ง